--------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ข้อมูลทางบรรณานุกรม
อิทธิฤทธิ์ จุฬาลักษณ์ศิริบุญ
อิทธิฤทธิ์ จุฬาลักษณ์ศิริบุญ
คู่มือสอบติดหมอ (ไม่ง้อกวดวิชา).— นนทบุรี :ธิงค์ บียอนด์, 2558.
176 หน้า.
1.แพทยศาสตร์—ข้อสอบเข้า. I. สาริณี จุฬาลักษณ์สิริบุญ, ผู้แต่งร่วม.
II. อังสณา สาสี, ผู้วาดภาพประกอบ. III. ชื่อเรื่อง.
610.76
----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------
ก่อนอื่นนั้น คุณต้องมองหาแรงผลักดันให้ตัวเองเสียก่อน เพราะการรู้ว่าเหตุผลอะไร
ที่ทำให้คุณอยากเรียนแพทย์ สิ่งนั้นจะเป็นแรงผลักดันอย่างดีสำหรับตัวคุณเอง
และต้องเป็นเหตุผลเชิงบวก
ที่ทำให้คุณอยากเรียนแพทย์ สิ่งนั้นจะเป็นแรงผลักดันอย่างดีสำหรับตัวคุณเอง
และต้องเป็นเหตุผลเชิงบวก
เรื่องจริงระดับตำนาน
เป็นเรื่องจริงของเพื่อนรุ่นเดียวกัน ที่สอบติดหมอโดยไม่ง้อกวดวิชา
เรื่องที่ 1
เพื่อนของหมอวู้ดดี้ชื่อระวี สอบเข้าเป็นที่ 1 ของคณะแพทย์ศิริราช เป็นนักเรียนสอบเทียบ
ระวีไม่เคยเรียนพิเศษเลยตั้งแต่เด็กจนโต แค่ซื้อหนังสือแบบฝึกหัดมานั่งทำ ตั้งใจเรียนที่โรงเรียน
ทำแบบฝึกหัดเยอะๆ ทำทุกเล่ม
ทำแบบฝึกหัดเยอะๆ ทำทุกเล่ม
เรื่องที่ 2
เพื่อนแพทย์รามาฯ ด้วยกัน ชื่อเอ สอบติดตอนจบม.6 ความสามารถรอบด้านมาก
เอเป็นคนกำพร้าพ่อ อาศัยอยู่บ้านเช่าเล็กๆ เล็กมากจนไม่มีที่อ่านหนังสือ
เขาจึงใช้วิธีอ่านหนังสือที่ห้องสมุดของโรงเรียนตอนดึกๆ และขอรับบริจาคหนังสือจากรุ่นพี่
เขาจึงใช้วิธีอ่านหนังสือที่ห้องสมุดของโรงเรียนตอนดึกๆ และขอรับบริจาคหนังสือจากรุ่นพี่
การที่เราตั้งใจอ่านทบทวน ทำโจทย์ด้วยตัวเอง ไม่ได้พึ่งพากวดวิชา คือเหตุผลหลักที่ทำให้สอบติดคณะแพทย์ศิริราช แน่นอนว่าการอ่านเองใช้เวลา มีหลายอย่างกว่าจะเข้าใจ กินเวลานาน
แต่เมื่อเข้าใจด้วยตัวเองแล้วสิ่งนั้นจะติดในสมอง
แต่เมื่อเข้าใจด้วยตัวเองแล้วสิ่งนั้นจะติดในสมอง
ขุมพลังที่ 1
เตรียมสมองและร่างกาย
1.ร่างกายกับสมองเป็นของคู่กัน
ถ้าร่างกายแข็งแรงสมองส่วนอื่นจะดีขึ้นตามไปด้วย
การออกกำลังกายต้องอยู่ในตารางเตรียมตัวสอบทุกวัน
ทำให้ได้สักครึ่งชั่วโมงทุกวัน เพราะถ้าร่างกายพร้อมสมองเราจะพร้อมด้วย
การออกกำลังกายต้องอยู่ในตารางเตรียมตัวสอบทุกวัน
ทำให้ได้สักครึ่งชั่วโมงทุกวัน เพราะถ้าร่างกายพร้อมสมองเราจะพร้อมด้วย
2.อย่าคิดว่านอนเยอะคือความขี้เกียจ
เป็นเรื่องปกติที่คนเก่งๆ เวลาอ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง เขาเข้านอนเลย บางคน 3 ทุ่มก็นอนแล้ว
ผมมั่นใจว่าเด็กส่วนใหญ่ 90 % กว่าๆ หลับไม่พอ เพราะเสียเวลากับทีวี เกมอินเทอร์เน็ต
และการเตร็ดเตร่ ดังนั้น ถ้าหากคุณยังฝันยิ่งใหญ่ จงมีวินัยกับการนอนให้พอตั้งแต่วันนี้
ควรนอนรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน อย่าน้อยกว่านี้
และการเตร็ดเตร่ ดังนั้น ถ้าหากคุณยังฝันยิ่งใหญ่ จงมีวินัยกับการนอนให้พอตั้งแต่วันนี้
ควรนอนรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 8 ชั่วโมงต่อวัน อย่าน้อยกว่านี้
การนอนที่เพียงพอจะช่วยให้สมองจัดเรียงข้อมูลที่ได้รับมาให้เป็นระเบียบ ช่วยเรื่องความจำและสมาธิ
3.หนทางการเพิ่มพลังสมอง
ก.ดื่มน้ำเปล่าบ่อยๆ
ข.เพลงคลาสสิก ช่วยทำให้สมองดีขึ้น
ค.อาหารเสริม
ถ้ามีกำลังซื้อได้ก็น่าสนใจ ให้เลือกยี่ห้อที่มีการรับรองมาตรฐานการผลิต
ง.การพูดกับตัวเอง
ไม่มีใครให้กำลังใจตัวเราเองได้ดีเท่ากับปากของเรา พูดกับตัวเองบ่อยๆว่า “ฉันต้องทำได้”
จ.ขจัดความตึงเครียด
ทำตัวให้ร่าเริง หาอะไรที่ชอบ หรือที่ทำให้ความเครียดถูกสลัดออกแรงๆ เช่น หัวเราะให้สุดๆ
4.อยากจำให้แม่น ต้องพักบ่อยๆ
5.ลงสนามสอบเยอะเกินไป ใช่ว่าจะดี
ขุมพลังที่ 2
หนังสือ และวิธีการวางแผน
1.ลงทุนกับการซื้อหนังสือ
สิ่งที่สำคัญคือ อย่าซื้อแค่วิชาที่อยากซื้อ ทุกวิชาสำคัญไม่แพ้กัน ต้องมีหนังสือครบทุกวิชา
2.ฝึกฝนด้วยตนเอง
อย่าเพิ่งตีตนไปก่อนไข้ ทุกอย่างมันยาก ก่อนที่มันจะง่าย
3.วิธีวางแผนอ่านหนังสือแบบได้ผล
ในแต่ละวัน พยายามอ่านและทำโจทย์ให้ได้ครอบคลุมเกือบทุกวิชา
สิ่งที่ขาดไม่ได้ทุกวัน คือ ต้องทำข้อสอบภาษาอังกฤษอย่างน้อย 10 ข้อ และท่องศัพท์ทุกวัน
4.การลอกเลียนแบบคือวิธีการที่ถูกต้อง (ยกเว้นการลอกเวลาสอบ)
วิธีการคือ ต้องอ่านเนื้อหาที่เกี่ยวข้องให้เข้าใจและจดจำข้อมูลได้พอสมควร เสร็จแล้วลงมือทำโจทย์ พอทำโจทย์แล้ว ติดขัด ให้เปิดเฉลยดูทันที พร้อมกับเปิดกลับไปที่เนื้อหาที่อ่านแล้ว แต่ยังไม่แม่น
นั่งท่อง จด ขีดปากกาไฮไลต์ พับ และอย่าสักแต่อ่านเฉยๆ ต้องลองทำใหม่อีกครั้ง
อย่าอ่านๆๆ แล้วก็พยักหน้า อ๋อๆ แล้วไม่ได้ลงมือทำซ้ำเด็ดขาด
5.ลืมไม่ลง จงทบทวน
ทุกวิชาต้องมีการทบทวน และต้องมีการทบทวนอย่างน้อย 4 รอบขึ้นไป
ถึงจะตอกย้ำตราตรึงในสมองของเรา
แต่ละวันควรจะได้อ่านและทำโจทย์เกือบๆทุกวิชา อย่าทิ้งวิชาใดวิชาหนึ่ง
6.การจดบันทึกขั้นเทพ
การเขียนเป็นตัวช่วยให้สมองถูกตอกย้ำข้อมูล จดบันทึกสิ่งที่ควรจด
เขียนใส่กระดาษแปะไว้ข้างฝา มองบ่อยๆ ท่องบ่อยๆ
สามารถนำไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันสอดคล้อง 9 ข้อที่พ่อสอนไว้ "นิสัยแห่งความดี"ด้านต่างๆ ดังนี้
1. ความเพียร
ในตอนมัธยมปลาย ถึงแม้ว่าหมอวู้ดดี้จะเคยสอบไม่ผ่าน
แต่เขาก็ไม่ย้อท้อและพยายามจนสอบติดแพทย์
2. ความพอดี
การเตรียมสอบไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดหรือไม่สุงสิงกับผู้ใด ทำตัวให้ร่าเริง เบิกบาน คิดถึงแต่เรื่องดีๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายผู้คน ใส่ใจคนอื่นๆบ้าง แค่นี้ความเครียดก็ลดไปได้เยอะ
แต่เขาก็ไม่ย้อท้อและพยายามจนสอบติดแพทย์
2. ความพอดี
การเตรียมสอบไม่จำเป็นต้องเคร่งเครียดหรือไม่สุงสิงกับผู้ใด ทำตัวให้ร่าเริง เบิกบาน คิดถึงแต่เรื่องดีๆ ยิ้มแย้มแจ่มใสทักทายผู้คน ใส่ใจคนอื่นๆบ้าง แค่นี้ความเครียดก็ลดไปได้เยอะ
3. ความรู้ตน
หมอวู้ดดี้ตั้งใจที่จะเรียนแพทย์เพื่อช่วยเหลือผู้คนและมีอนาคตที่มั่นคงเพื่อเลี้ยงดูพ่อแม่
4. คนเราจะต้องรับและจะต้องให้
หมอวู้ดดี้คิดว่าต้องเรียนคณะที่จบมาแล้วอนาคตสามารถดูแลพ่อแม่ได้
5. อ่อนโยนแต่ไม่อ่อนแอ
ถึงแม้หมอวู้ดดี้จะเป็นนักกิจกรรม แต่ก็ยังตั้งใจเรียนในห้องเรียน
6. พูดจริงทำจริง
6. พูดจริงทำจริง
เช่น การตัดสินใจว่าจะเรียนในคณะไหน จะต้องมีเหตุผลหนักแน่น จัดเชน และมุ่งมั่น
7. หนังสือเป็นออมสิน
เวลาอ่านหนังสือหรือทำโจทย์ แต่ละครั้งใช้เวลา 25-40 นาที พัก 5 นาที ให้ทำแบบนี้ 4 รอบหรือประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วต้องพักยาว 30 นาที
8. ความซื่อสัตย์
หลังจากที่หมอวู้ดดี้หักโหมจนป่วยในวันสอบ เขาก็หันมาออกกำลังกายทุกวัน
9. การเอาชนะใจตน
7. หนังสือเป็นออมสิน
เวลาอ่านหนังสือหรือทำโจทย์ แต่ละครั้งใช้เวลา 25-40 นาที พัก 5 นาที ให้ทำแบบนี้ 4 รอบหรือประมาณ 2 ชั่วโมง แล้วต้องพักยาว 30 นาที
8. ความซื่อสัตย์
หลังจากที่หมอวู้ดดี้หักโหมจนป่วยในวันสอบ เขาก็หันมาออกกำลังกายทุกวัน
9. การเอาชนะใจตน
ถึงแม้เกรดเฉลี่ยมัธยมปลายของหมอวู้ดดี้จะแค่ 3.1 เท่านั้น แต่เขาก็ยังตัดสินใจ
จะสอบเข้าคณะแพทย์ เพราะเขามั่นใจว่าไม่ได้แพ้ใครถ้ามุ่งมั่นเอาจริง
จะสอบเข้าคณะแพทย์ เพราะเขามั่นใจว่าไม่ได้แพ้ใครถ้ามุ่งมั่นเอาจริง
เป็นแรงบันดาลใจในการเรียนและการทำงานได้ดีมากครับ
ตอบลบอ่านแล้วมีกำลังใจที่จะเรียน และรู้เทคนิคการเตรียมตัวและการหนังสือ อีกด้วย
ตอบลบ